เทคโนโลยี “การจดจำใบหน้า (Face Recognition)” ไม่ได้เป็นแค่เพียงเทคโนโลยีล้ำๆ ในภาพยนตร์ Sci-fi เท่านั้น
ช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั่วโลก และมีแนวโน้มจะยิ่งทรงพลัง สร้างมิติใหม่ต่อการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตของผู้คนในอนาคต
ขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ผู้ให้บริการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มและเอไอโซลูชั่น เล่าว่า เทคโนโลยีจดจำใบหน้านับเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์โลกที่เด่นชัดขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
จากการต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) จนสามารถระบุข้อมูลของใบหน้ามนุษย์ได้อย่างแม่นยำ และล่าสุดค่อยๆ เข้ามาทดแทนเทคโนโลยีการพิสูจน์อัตลักษณ์ทางกายภาพของบุคคล (Biometrics) รูปแบบอื่น เนื่องจากสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบและหลากหลายอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน ยังสามารถมองเห็นรายละเอียดได้มากกว่าตาของมนุษย์ ณ ช่วงวินาทีเดียวกัน ทำให้มหาอำนาจหลายประเทศทั่วโลกต่างนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาช่วยค้นหาคนหายจากฐานข้อมูลใบหน้า ไปจนถึงใช้ติดตามมิจฉาชีพและผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกเหนือจากการใช้เพื่อ งานด้านความปลอดภัย (Security) แบบในภาพยนตร์แล้ว ยังถูกนำมาใช้ในหลากหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจค้าปลีก ใช้นับจำนวนคนเข้ามาในห้าง ไปจนถึงการพัฒนาการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management : CRM) ช่วยตรวจจับและแจ้งเตือนให้พนักงานขายทราบตั้งแต่ตอนที่ลูกค้า VIP เดินเข้ามาในห้าง เพื่อที่จะได้เข้าไปดูแลได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสม
ธุรกิจสุขภาพ ประเทศในแถบอเมริกาเหนือ เช่น แคนาดา สหรัฐ นำไปใช้กับศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home) ตรวจจับเพื่อดูแลไม่ให้ผู้สูงอายุเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ธุรกิจโลจิสติกส์ นำอุปกรณ์ไอโอทีเข้ามามีส่วนช่วยเชื่อมต่อเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าในยานพาหนะ มาใช้กับเรื่องระบบ Face Access เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการด้านโลจิสติกส์มีหลากหลายกลุ่ม
อาทิ คนขับรถ คนส่งของ พนักงานคลังสินค้า สินค้าที่จะขนส่งก็มีระดับความสำคัญหลากหลาย จึงใช้การสแกนใบหน้า เพื่อกำหนดสิทธิ์การเข้าพื้นที่ของคนแต่ละกลุ่ม ตรวจสอบว่าผู้ขับรถคันดังกล่าว เป็นผู้ที่มีใบอนุญาตขับขี่ประเภทดังกล่าว ไม่ได้เป็นผู้ไม่มีใบอนุญาตมาขับแทน รวมถึงตรวจจับว่าใบหน้าของผู้ขับขี่ มีอาการอ่อนเพลียหรือหลับหรือไม่ และแจ้งเตือนให้จอดพักหากมีอาการ
นอกจากนี้ ยังรวมถึงช่วยตรวจสอบว่า พนักงานบางกลุ่มที่จำเป็นต้องประจำอยู่ในบางพื้นที่ของคลังสินค้าตลอดเวลา เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัย ได้ประจำอยู่ในพื้นที่จริงๆ
ขณะที่ในไทย จากที่เคยเผชิญความท้าทายเรื่องคุณภาพของตัวกล้องที่ใช้ตรวจจับใบหน้า และความแตกต่างระหว่างบริบทของประเทศผู้พัฒนาเทคโนโลยี แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาไปไกลขึ้น จนสามารถทลายความท้าทายดังกล่าว และกลายเป็นสาเหตุสำคัญให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนนำมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบกับธุรกิจและอุตสาหกรรมใหม่ๆ มากขึ้น
ขยล เชื่อว่า ระบบการทำงานของ Face Recognition จะยิ่งมีบทบาทเหมือนภาพยนตร์ Sci-fi มากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) รวมไปถึงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ มีส่วนสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต เพิ่มความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในทุกด้านให้แก่ผู้คน
เครดิตข้อมูลข่าวโดย : https://www.bangkokbiznews.com