fbpx

รัฐนำร่องดัน 4 เมืองเก่า “สมาร์ทซิตี้”

นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการผลักดันการพัฒนา เมืองอัจฉริยะ (สมาร์ทซิตี้) และเมืองแห่งนวัตกรรม ซึ่งต้องอาศัยองค์ประกอบหลายปัจจัยทั้งการวางผังเมือง การออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่สามารถตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยในยุคปัจจุบันอย่างชาญฉลาด

รวมถึงการหยิบเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ สร้างความสะดวก สบาย และปลอดภัยให้กับประชาชน โดยเมืองอัจฉริยะและเมืองนวัตกรรมจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญให้ประเทศไทยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและจัดการเมือง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งด้านที่อยู่อาศัยที่สะดวกสบาย สร้างเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า รวมถึงมีสังคมและมีความสุขอย่างยั่งยืน

โดยภาครัฐได้ตั้งเป้า 10 เมือง ใน 7 จังหวัดคือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ให้เป็นเมืองอัจฉริยะ โดยมุ่งเน้นการออกแบบที่ดี และการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและภาคประชาชนเพื่อพัฒนาเมืองน่าอยู่ ทันสมัย และจะขยายสู่ 100 เมือง 77 จังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2565 เพื่อเป็นศูนย์กลางเมืองอัจฉริยะอาเซียน และร่วมแลกเปลี่ยนความรู้กันในภูมิภาค เพื่อผลักดันอาเซียนให้ทัดเทียมกับภูมิภาคอื่นของโลก

ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนโครงการของรัฐบาล จึงได้จัดงาน ASA Real Estate Forum 2019 ครั้งที่ 2 ภายใต้แนวคิด “Smart & Innovative Cities for all” ในวันที่ 8 พ.ย.นี้ ที่สยามพารากอนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้เกิดเมืองอัจฉริยะและเมืองนวัตกรรม ทั้งการออกแบบโครงสร้างอาคาร ที่อยู่อาศัยและประโยชน์การใช้สอยอย่างเต็มประสิทธิภาพ

ออกแบบเมืองให้ตอบโจทย์

 

นายภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) กล่าวว่า การสร้างเมืองอัจฉริยะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้กำหนดกรอบการพัฒนาเมืองอัจตฉริยะจะต้องอยู่ในแนวทางการพัฒนา 7 ด้าน ได้แก่ 1.Smart Environment สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ 2.Smart Government การปกครองอัจฉริยะ

3.Smart Mobility การสัญจรอัจฉริยะ 4.Smart Energy พลังงานอัจฉริยะ 5.Smart Economy เศรษฐกิจอัจฉริยะ 6.Smart Living การใช้ชีวิตอัจฉริยะ และ 7.Smart People ประชาชนอัจฉริยะ โดยองค์ประกอบของสมาร์ทซิตี้จะต้องประกอบด้วย 2 ด้าน ซึ่งจะมี 1 ด้านเป็นหลัก ได้แก่ Smart Environment สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ และอีก 1 ด้านตามความเหมาะสมของพื้นที่

ทั้งนี้ การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยีไฮเทคชั้นสูง แต่เป็นเมืองที่ถูกออกแบบเพื่อตอบสนองต่อความเป็นอยู่ของประชาชนให้ได้ตรงจุด และเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่

โดยจะต้องเริ่มตั้งแต่การระดมความคิดของคนในชุมชนเพื่อหาความต้องการของเมืองให้ได้ เมื่อได้ความต้องการของเมืองแล้วก็จะต้องดูเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะต้องมีอะไรบ้าง จากนั้นก็ต้องนำเอกชนเข้ามาร่วมหารือเพื่อจัดทำแผนธุรกิจที่เหมาะสมเพื่อให้สมาร์ทซิตี้แต่ละด้านสามารถเลี้ยงตัวเองมีผลกำไรต่อไปได้

“พัทยา”สมาร์ท ลีฟวิ่ง

การพัฒนาสมาร์ทซิตี้ในอีอีซี จะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.การยกระดับเมืองเก่าให้เป็นสมาร์ทซิตี้ คือ เมืองบางแสน ,พัทยา ,แหลมฉบัง และเมืองระยอง โดยการพัฒนาเมืองเก่าแหลมฉบัง จะเน้นไปที่การพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ เนื่องจากในขณะนี้การจราจรบริเวณท่าเรือแหลมฉบังในวันพฤหัส-เสาร์ จะติดขัดมาก จึงต้องนำระบบอัจฉริยะมาบริหารจัดการท่าเรือ

โดยการนำเซ็นเซอร์มาติดตั้งและใช้ระบบไอโอที เพื่อให้บริการจัดการมีประสิทธิภาพสูงสุดให้เป็นพื้นที่เมืองเศรษฐกิจอัจฉริยะบริเวณรอบท่าเรือ และเป็นเมืองที่มีความปลอดภัย

นอกจากนี้ แหลมฉบังและพัทยายังเป็นเมือง Smart Living การใช้ชีวิตอัจฉริยะที่มีความปลอดภัย ซึ่งจะเป็นเมืองแรกที่มีการติดตั้งระบบ ซีซีทีวี และระบบวิเคราะห์ตรวจจับใบหน้าอัจฉริยะ เพื่อคัดกรองอาชญากรบุคคลต้องสงสัยและอาชญากรข้ามชาติแบบที่ใช้ในเมืองใหญ่ของจีน

โดยโครงการติดตั้งระบบกล้องซีซีทีวีและระบบตรวจจับใบหน้าจะมีบริษัทเอกชนเข้ามาลงทุน และดีป้าให้เงินสนับสนุนประมาณ 10 ล้านบาท เมื่อโครงการเดินหน้าครบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2562 บริษัทที่ได้รับทุนสนับสนุนจะต้องเลือกที่จะคืนเงินทุนให้กับภาครัฐ หรือคืนเป็นหุ้น เพื่อให้มีเงินนำไปหมุนเวียนให้กับโครงการอื่นต่อไป

“โมเดลธุรกิจของสมาร์ทซิตี้เมืองแหลมฉบังและพัทยา บริษัทผู้ลงทุนติดตั้งกล้องและระบบซีซีทีวี จะได้รับเงินสนับสนุนจากโรงแรม และร้านค้าภายในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนให้มีความปลอดภัยให้กับลุกค้าและนักท่องเที่ยวเพื่มขึ้น รวมทั้งขายเดต้าหรือข้อมูลเชิงลึกภายในพื้นที่ เพื่อให้ภาคเอกชนนำไปใช้ในการวางแผนธุรกิจ ซึ่งจะเป็นโมเดลที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ทั้งหมดและโครงการนี้อยู่ได้”

“บางแสน”รองรับผู้สูงอายุ

ส่วนเมืองบางแสน จะเน้นสมาร์ทซิตี้ด้าน Smart Living การใช้ชีวิตอัจฉริยะที่เน้นในกลุ่มบริการสุขภาพ และผู้สูงอายุเป็นหลัก เนื่องจากเมืองบางแสนไม่สามารถสู้การท่องเที่ยวกับเมืองพัทยาได้ จึงมุ่งเน้นดึงให้ต่างชาติ และผู้สูงอายุให้เข้ามาพักผ่อนระยะยาวในพื้นที่บางแสน ดังนั้น เทศบาลเมืองบางแสนจึงได้ร่วมกับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ วางระบบดิจิทัลและอุปกรณ์เซ็นเซอร์ ระบบไอโอดี ติดตัวผู้สูงอายุ เพื่อดึงดูดให้ผู้สูงอายุต่างชาติเข้ามาพำนักระยะยาวในไทย

ขณะที่เมืองใหม่ที่จะเป็นสมาร์ทซิตี้ เช่น เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซีไอ) ในพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง ,เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (อีอีซีดี) และเมืองการบินอู่ตะเภา มีเป้าหมายเพื่อเป็นเมืองอัจฉริยะรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทค และบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การบิน และการสร้างนวัตกรรมใหม่

นายภาสกร กล่าวว่า ในการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ การวางโครงสร้างระบบไอทีที่ทันสมัย โดยเฉพาะระบบ 5 จี เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะระบบดิจิทัลต่างจะต้องสื่อสารส่งผ่านข้อมูลที่รวดเร็ว เนื่องจากทำให้อุปกรณ์ไอโอทีเชื่อมโยงกันได้หลายล้านชิ้น ทำให้อุปกรณ์ต่างๆใช้พลังงานลดลงสามารถติดตั้งเซ็นเซอร์ต่างๆได้มากขึ้น เช่น การนำรถยนต์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนได้เองเข้ามาใช้ในพื้นที่ จำเป็นจะต้องมีระบบ 5 จีน เข้ามารองรับ

 

 

เครดิตข้อมูลข่าวโดย :  https://www.bangkokbiznews.com

 

 

Leave a Reply